Bitget Wallet เปิดตัวบัตรคริปโตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ซานซัลวาดอร์, เอลซัลวาดอร์, Oct. 16, 2025 (GLOBE NEWSWIRE) — Bitget Wallet ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในบางตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขยายบริการชำระเงินด้วยคริปโตสู่หนึ่งในภูมิภาคที่มีความคึกคักมากที่สุดของโลก

บัตร Bitget Wallet ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถใช้จ่ายคริปโตได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเชื่อมต่อสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้ใช้เก็บรักษาเอง เข้ากับร้านค้าของ Mastercard กว่า 150 ล้านแห่ง และเครือข่ายของ Visa ที่ครอบคลุมมากกว่า 200 ประเทศ ผู้ใช้สามารถสมัครใช้บัตรได้ผ่านแอป Bitget Wallet โดยจะได้รับการอนุมัติทันทีผ่านกระบวนการเริ่มต้นใช้งานแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ และสามารถเพิ่มบัตรเข้า Apple Pay หรือ Google Pay เพื่อใช้งานได้ทั่วโลก ธุรกรรมจะได้รับการจัดสรรเงินทุนทันทีผ่านสัญญาแลกเปลี่ยนแบบออนเชน (Onchain swap) และการฝากเงินเป็น USDT และ USDC ส่วนการเติมเงินนั้นก็ไม่มีค่าธรรมเนียม

“การเปิดตัวบัตร Bitget Wallet ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นหมุดหมายสำคัญในกลยุทธ์ของเรา” Jamie Elkaleh ซีเอ็มโอของ Bitget Wallet กล่าว “สิ่งนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับวิสัยทัศน์ของเราในการผสานการเก็บรักษาสินทรัพย์ด้วยตนเอง การปฏิบัติตามข้อกำหนด และยูทิลิตี้ในโลกแห่งความเป็นจริงช่วยให้ผู้ใช้มีช่องทางเดียวสำหรับการใช้จ่าย ออม และสร้างรายได้ด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล”

การเปิดตัวนี้เกิดขึ้นในขณะที่เอเชียแปซิฟิกได้กลายเป็นตลาดคริปโตที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีกิจกรรมออนเชนเพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 2.36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภูมิภาคนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางทั้งด้านการนำสเตเบิลคอยน์ไปใช้ในระดับสถาบันและการชำระเงินในการค้าปลีก โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบทบาทในการขับเคลื่อนกระแสการโอนเงินระหว่างประเทศ ขณะที่ตลาดพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นและออสเตรเลียก็มีความต้องการโซลูชันการชำระเงินที่โปร่งใสและคุ้มค่า ด้วยการผสานศักยภาพการเก็บรักษาสินทรัพย์ด้วยตนเองของ Bitget Wallet เข้ากับโครงสร้างการชำระเงินของพันธมิตรระดับโลก บัตร Bitget Wallet จึงถูกวางตำแหน่งให้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีรากฐานบนบล็อกเชนกับระบบการเงินกระแสหลักทั่วทั้งภูมิภาค

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://web3.bitget.com/card และบล็อก Bitget Wallet

เกี่ยวกับ Bitget Wallet
Bitget Wallet เป็นกระเป๋าเงินคริปโตแบบไม่มีผู้ควบคุมดูแล (non-custodial) ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้คริปโตนั้นใช้งานง่าย ราบรื่นไร้สะดุด และปลอดภัยสำหรับทุกคน ด้วยจำนวนผู้ใช้มากกว่า 80 ล้านคน แพลตฟอร์มจึงได้รวบรวมชุดบริการคริปโตที่ครบชุดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสัญญาแลกเปลี่ยน (Swap) การวิเคราะห์ตลาด การวางเดิมพัน (Staking) รางวัล เบราว์เซอร์ DApp และโซลูชันการชำระเงินด้วยคริปโต Bitget Wallet รองรับบล็อคเชนมากกว่า 130 เครือข่าย DApps มากกว่า 20,000 รายการ และโทเค็นกว่าล้านรายการ ช่วยให้การซื้อขายแบบมัลติเชนเป็นไปอย่างราบรื่น ครอบคลุมทั้ง DEX และบริดจ์ข้ามเชนหลายร้อยรายการ ด้วยการสนับสนุนจากกองทุนคุ้มครองผู้ใช้มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระบบนี้จึงรับประกันถึงความปลอดภัยในระดับสูงสุดสำหรับสินทรัพย์ของผู้ใช้ วิสัยทัศน์ของบริษัทคือ คริปโตสำหรับทุกคน (Crypto for Everyone) เพื่อทำให้คริปโตใช้งานง่าย ปลอดภัย และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนนับพันล้านคน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่: X | Telegram | YouTube | LinkedIn | TikTok | Discord | Facebook
หากสื่อมวลชนต้องการสอบถาม โปรดติดต่อ [email protected]

ดูรูปภาพประกอบประกาศนี้ได้ที่ https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/c3a8a304-4471-4a79-a095-b7a061b2d2a2

GlobeNewswire Distribution ID 1001133484

Recent News

การวิเคราะห์ของ Squawka เกี่ยวกับสถิติของสโมสรในพรีเมียร์ลีกหลังจากพักเบรกทีมชาติ

ลอนดอน, Oct. 17, 2025 (GLOBE NEWSWIRE) — Squawka ได้เผยแพร่การวิเคราะห์เชิงข้อมูลที่ศึกษาว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกทำผลงานอย่างไรในการแข่งขันลีกนัดแรกหลังจากพักเบรกทีมชาติ  (ตั้งแต่ตุลาคม 2020 จนถึงปัจจุบัน) โดยพบว่า Manchester City และ Liverpool เป็นทีมที่ทำผลงานโดดเด่นที่สุดในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ขณะที่ Everton อยู่ท้ายตาราง ข้อค้นพบที่สำคัญ เมื่อศึกพรีเมียร์ลีกกลับมาแข่งขันอีกครั้ง Squawka ได้ทำการวิเคราะห์ว่าทุกสโมสรทำผลงานอย่างไรทันทีหลังจากช่วงพักทีมชาติ เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจสำหรับผู้อ่านของคุณ ผลการวิจัยของเราพบว่า Manchester City และ Liverpool มักทำผลงานได้เหนือกว่าหลังจากกลับมาจากภารกิจทีมชาติ ขณะที่ Everton และ Crystal Palace มักเริ่มต้นได้ช้าหลังจบช่วงพักดังกล่าว Liverpool ชนะติดต่อกัน

อัปเดต: SINTX เสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันการติดเชื้อ ด้วยสิทธิบัตรสหรัฐฯ ฉบับใหม่ที่ครอบคลุมตลาดเป้าหมายด้านสารต้านเชื้อโรคมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์